เมื่อวัฒนธรรมไทยอยากก้าวไกลแบบเกาหลีใต้
จะมีทางหรือเปล่า

นับตั้งแต่ละคร “บุพเพสันนิวาส” กลายเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วสยามและประเทศจีน
หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนก็พากันหยิบเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากละครมาสร้างเป็นคอนเทนต์เพื่อโปรโมตหน่วยงานและแบรนด์ของตัวเองกันยกใหญ่
ด้านรัฐบาลเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปเปล่าๆ แต่กระโดดเกาะกระแสด้วยการผุดไอเดียโปรโมตศิลปวัฒนธรรมผ่านละครไทย
โดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ถึงกับชื่นชมละครบุพเพสันนิวาสว่ามีคุณค่าเทียบเท่ากับซีรีส์ “แดจังกึม”
ของเกาหลีใต้ ที่มีตัวละครหลักเป็นนางในที่มีฝีมือในการทำอาหาร และสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารเกาหลีให้เอาชนะใจคนไทยไปโดยปริยาย
ต่อมา นายวีระก็ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง โดยกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ชมซีรีส์ “จองอี ตำนานศิลป์แห่งโชซอน” ที่ว่าด้วยงานศิลปะของเกาหลีใต้
และไลน์สั่งการให้นายวีระพิจารณาและพูดคุยกับผู้จัดละครเพื่อจัดทำละครสอดแทรกความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมไทย แถมล่าสุดยังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะทุ่มงบประมาณ
400 ล้านบาท
เพื่อสนับสนุนภาพยนตร์และละครไทยที่มีเนื้อหาส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยอีกด้วย
ไอเดียก็มี งบประมาณก็มาแบบนี้
ก็ต้องมาดูกันหน่อยว่าพอจะมีทางหรือไม่ ที่วัฒนธรรมไทยจะได้รับการเผยแพร่
ไม่ใช่แค่นิยมกันในประเทศไทย แต่ยังส่งออกไปได้อย่างวัฒนธรรมเกาหลีใต้
ที่ครองพื้นที่ในเอเชียตั้งแต่ปี 2533 และขยายอิทธิพลไปยังภูมิภาคอื่นๆ
ทั่วโลก เกาหลีใต้เป็นประเทศแบบไหน โตมาอย่างไรจึงสามารถผลิตผลงานเหล่านี้ได้
และเราจะเติบโตได้อย่างเขาหรือไม่ มาดูกัน
ในงานเสวนาเรื่อง “นโยบายวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการพัฒนาเกาหลีใต้ในทศวรรษใหม่” ที่จัดขึ้นโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 20 มีนาคม
2561 ดร.ฮเย-คยอง ลีอาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
คณะมนุษยศาสตร์ วิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน
ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมวัฒนธรรมของประเทศเกาหลีใต้
ที่รัฐมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานด้านศิลปวัฒนธรรมมาตั้งแต่ในอดีต และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มงบประมาณสำหรับนโยบายด้านวัฒนธรรมในอนาคต
ซึ่งนอกจากจะสนับสนุนการสร้างผลงานและเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงศิลปะและสวัสดิการด้านศิลปะแล้ว
รัฐบาลยังสนับสนุนโครงการคลื่นเกาหลี (Korean Wave) หรือการผสมผสานระหว่างนโยบายส่งออกวัฒนธรรมและการสร้างแบรนด์ให้กับประเทศ
โดยใช้วิธีเปลี่ยนวัฒนธรรมให้เป็นสินค้าที่มีเรื่องราว
แปลงข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมให้เป็นคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ
เพื่อบอกเล่าเรื่องราวแทนการสื่อสารวัฒนธรรมโดยตรง
ที่สำคัญต้องเป็นคอนเทนต์ที่เสพง่าย น่าซื้อ และส่งออกได้
นอกจากนี้ ในอนาคต รัฐบาลเกาหลีใต้ยังวางแผนที่จะขยายคลื่นเกาหลีไปสู่ศิลปะแขนงอื่นๆ
เช่น วิจิตรศิลป์ ดนตรีคลาสสิก วรรณกรรม ละครเพลง และแฟชั่น
โดยมุ่งให้ศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสร้างแบรนด์ของประเทศต่อไป
ทั้งนี้ ดร.ฮเย-คยอง ลี ได้เผยเคล็ดลับในการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมให้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก
นั่นคือ “การเลิกปกป้องวัฒนธรรม แต่เปลี่ยนวัฒนธรรมให้มีความเป็นสากล
ในฐานะโครงการระดับชาติที่ทำโดยรัฐ”

แดจังกึม ซีรีส์ยอดฮิตจากเกาหลีใต้ที่นำวัฒนธรรมอาหารเกาหลีเข้าสู่ประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม
การเติบโตงอกงามของวัฒนธรรมเกาหลีทั่วโลก
ไม่ได้เกิดจากนโยบายของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว โดย ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษาและอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่าสิ่งที่เกาหลีใต้ทำคืออุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม
ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะเป็นนโยบายที่ “เปลี่ยนทัศนคติ”
ให้คนที่ไม่อยากซื้อสินค้ามีความต้องการสินค้า ซึ่งก็คือวัฒนธรรมเกาหลีนั่นเอง
นอกจากนี้
ตัวตนของชาวเกาหลีก็เป็นปัจจัยหลักอีกประการที่หล่อหลอมให้เกิดแบรนด์ที่เป็น
“สไตล์เกาหลี” โดยเฉพาะ ตัวตนเช่นนี้ประกอบขึ้นมาด้วยรากฐานทางวัฒนธรรม 5
อย่าง ได้แก่ ความเชื่อเรื่องหมอผีและร่างทรง ที่ผู้คนนิยมใช้บริการเพื่อบันดาลความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ลัทธิเต๋า ที่มีหลักปฏิบัติที่เรียบง่ายสอดคล้องกับธรรมชาติ
และกำหนดความงามในอุดมคติของเกาหลี นั่นคือความงามที่ไม่หวือหวา
ดังจะเห็นได้จากการศัลยกรรมจมูกของเกาหลี ที่มีลักษณะเฉพาะ นั่นคือ จมูกขนาดเล็ก
ดั้งไม่สูงมาก และที่สำคัญก็คือต้องมีหยดน้ำตรงปลายจมูก พระพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่ส่งเสริมให้คนเกาหลีมีความเพียรพยายามและต้องการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเน้นเรื่องความสำเร็จที่มาจากการทำงานหนัก
ความกตัญญู หน้าที่การงานที่ดี และระบบอาวุโส ทว่าความตึงเครียดของลัทธินี้ กลับทำให้คนรุ่นใหม่ปลดปล่อยตัวเองผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
และสุดท้ายคือ คริสต์ศาสนา ที่มีบทบาทสำคัญในแง่การสร้างเครือข่ายทางการเมืองและธุรกิจ
ผ่านการพบปะกันระหว่างนักการเมืองและนักธุรกิจที่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์
และไม่ใช่แค่รากฐานทางวัฒนธรรมเท่านั้น
ผศ.ดร.ปิติ ยังชี้ให้เห็นถึงวิธีการสร้างสรรค์นวัตกรรมแบบเกาหลีใต้ ซึ่งประกอบด้วย
3
ขั้นตอน ได้แก่ การลอกเลียนแบบ
การทุ่มเทพัฒนาให้เหมือนที่สุดและการพัฒนาให้ดีกว่า โดยยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน
จากการสร้างสมาร์ทโฟน “Samsung Galaxy S”
“iPhone โดยสตีฟ จ็อบส์
ขายครั้งแรกในปี 2007 แล้วต้องใช้เวลา 3 ปี กว่าซัมซุงจะสามารถออก Samsung Galaxy S รุ่นแรกได้
ซึ่งมีหน้าตาเหมือน iPhone เลย
เพียงแต่คลุมทับด้วยระบบปฏิบัติการ Android ของซัมซุง
จากนั้นก็ทุ่มเท พัฒนาให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะเหมือนได้ จะเห็นว่า Galaxy
S1 ถึง S5 หน้าตาเหมือน iPhone ทุกประการ แต่มันเริ่มพัฒนาฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการอยู่เรื่อยๆ
จนกระทั่งมี Galaxy S6 ที่ไม่มีขอบจออีกต่อไป
มีแต่หน้าจอเกลี้ยงๆ นี่คือความงามแบบเต๋าครับ เป็นการพัฒนาที่เริ่มจากการเลียนแบบ
ทุ่มเท พัฒนา แต่สิ่งที่เกาหลีทำมากกว่านั้นคือความเซ็กซี่ ไม่ใช่ความแข็งกร้าว”

นอกจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่สามารถเอาชนะสหรัฐอเมริกาแล้ว เกาหลีใต้ยังใช้โมเดลเดียวกันนี้ในการพัฒนาวงการเพลงของตัวเองจนโดดเด่นแซงหน้าความ “คาวาอี้” ของเกิร์ลกรุ๊ปญี่ปุ่นด้วย
“ปี 2005 คุณเจอ AKB48 รุ่นแรกของญี่ปุ่น แต่ความงามของญี่ปุ่นต่างจากความงามของเกาหลีครับ ความงามของญี่ปุ่นใช้คำว่าคาวาอี้ น่ารัก ถูกใจโอตาคุคุณลุงที่ไม่ชอบผู้หญิงแต่งตัวโป๊ แต่ชอบผู้หญิงแต่งตัวเรียบร้อยน่ารัก เหมือนลูกสาวหลานสาว ถ้าจะต้องทำเป็นเกาหลี เพลงเหมือนกัน เด็กผู้หญิงเหมือนกัน เต้นเหมือนกัน ก็จะมีการลอกเลียนแบบเกิร์ลกรุ๊ปแบบนี้ แต่เกิร์ลกรุ๊ปของเกาหลีจะต้องทำงานหนัก แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นมา จนกลายเป็น Girls’ Generation ที่เซ็กซี่กว่าครับ และมันทำให้ K-Pop ประสบความสำเร็จ” ผศ.ดร.ปิติ กล่าว
ด้าน ดร.อภิชาติ ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักโครงการและจัดการความรู้ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ได้ให้ความเห็นว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้พัฒนาได้ ได้แก่ รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ศักยภาพและความจริงจังของชาวเกาหลี ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการพัฒนาทั้งองค์ความรู้ เนื้อหา คน เทคโนโลยี เครือข่าย และตลาดที่จะรองรับ “สินค้าทางวัฒนธรรม” โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมทั้งกฎหมายที่ยืดหยุ่นและสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่พัฒนาต่อ กระตุ้นให้เกิดการลงทุน และการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของวัฒนธรรมที่มีความสวยงามและเป็นสากล จนสามารถเข้าถึงคนทั่วโลก
“นโยบายการพัฒนาเกาหลีมีการผสมผสานระหว่างองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม ศิลปวัฒนธรรม เพื่อที่จะสร้างสรรค์สินค้าหรือบริการที่มีรูปแบบทันสมัยและตรงใจ สามารถกระตุ้นเร้าความต้องการ ที่อาจจะไม่มีด้วยซ้ำ ให้เกิดมีขึ้น นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มียอดการวิจัยและพัฒนาที่สูงที่สุดในโลก ประมาณ 4% ของ GDP และในปัจจุบัน เกาหลีก็ให้ความสำคัญกับการกระจายการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ทักษะ และวิธีการกับเทคนิคใหม่ๆ ให้ลงไปสู่ผู้ประกอบการรายเล็กมากขึ้นด้วย” ดร.อภิชาติ กล่าว
เมื่อถามว่าประเทศไทยมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสามารถส่งออกศิลปวัฒนธรรมออกไปทั่วโลกอย่างเกาหลีใต้
ผศ.ดร.ปิติ ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของชาวเกาหลี
โดยเฉพาะการรังเกียจอาชีพบางอาชีพ เช่นทหาร
ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่คอยแทรกแซงการเมือง
กลายเป็นภาพลักษณ์ของทหารที่เสียสละเพื่อชาติ และอุทิศเวลาถึง 2
ปีในชีวิต ทิ้งหน้าที่การงานมาทำภารกิจเพื่อชาติ
โดยนำเสนอภาพลักษณ์นี้ผ่านซีรีส์หวานอย่าง Descendants
of the Sun
“คำถามต่อมาก็คือ
ถ้าเราจะส่งเสริมเรื่องพวกนี้บ้าง เราทำแล้วหรือยัง
เราทำเรื่องการเปลี่ยนทัศนคติด้านลบของคนไทยให้เป็นด้านที่ดีขึ้นหรือยัง
เด็กคนหนึ่งจะเปิดโปงเรื่องโกงแต่ถูกผู้ใหญ่ตบหลัง
หรือผู้ใหญ่คนหนึ่งเข้าไปยิงเสือดำ แล้วบอกว่าไม่ได้ยิง
ถ้าเราไม่กล้าที่จะเอาเรื่องที่ไม่ดีของเรามาทำให้มันดีขึ้น ทำให้มันย่อยง่ายขึ้น ไทยเรารับพระพุทธศาสนาเข้ามาเหมือนกัน
แต่สิ่งที่เกาหลีและญี่ปุ่นได้คือการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่ของเราอาจจะไม่ได้รับตรงนั้นมา
เพราะเรายังหวังผลดลบันดาล และฉาบฉวยมากกว่า เรามีโอกาส
แต่จะทำหรือไม่ทำเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ผศ.ดร.ปิติ กล่าว
imdbDescendants of the Sun ซีรีส์เกาหลีที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของทหาร จากกลุ่มคนที่แทรกแซงการเมือง เป็นฮีโร่ที่เสียสละเพื่อชาติ
และในขณะที่รัฐบาลไทยพยายามศึกษาดูงานและเจริญรอยตามประเทศที่มีนโยบายด้านวัฒนธรรมโดดเด่น
ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ แต่สิ่งที่รัฐบาลดูเหมือนจะหลงลืมไปคือการพัฒนาที่ต้นทางอย่าง
“ทรัพยากรมนุษย์” ซึ่งดร.อภิชาติ มองว่าศักยภาพของเด็กไทยยังต่ำกว่าประเทศเหล่านี้
โดยเฉพาะทักษะในศตวรรษที่ 21 ทั้งการคิดวิเคราะห์
การคิดนอกกรอบ การทำงานเป็นทีม ความพยายามแก้ปัญหาแบบองค์รวม ทักษะด้านความเข้าใจเทคโนโลยี
คือใช้เทคโนโลยีให้ถูกต้อง และความเข้าใจวัฒนธรรม
“เด็กของเราตั้งแต่เล็กจนโต
ถูกสั่งสอนให้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส 2 อย่างเท่านั้น
คือตาดู หูฟัง
เราไม่เคยเปิดโอกาสให้เด็กของเราได้สัมผัสประสบการณ์ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5
ซึ่งรวมทั้งการเรียนรู้ด้วยจิตใจ มีความซาบซึ้ง จินตนาการต่างๆ
คนแต่ละช่วงวัยมีโครงสร้างสมองไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น
การเรียนรู้ของคนแต่ละช่วงวัยต้องมีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ใช้สื่อ
รูปแบบการนำเสนอ และความยากง่ายที่แตกต่างกัน
แต่การเรียนรู้ในประเทศไทยไม่เคยเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้พัฒนา ตั้งแต่เด็กจนโต
เรียนเหมือนกันหมด
ถ้าเราไม่สามารถสร้างการเรียนรู้ที่ถูกต้องได้ก็จะเป็นการทำลายทรัพยากรมนุษย์
ทำให้เด็กไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ เด็กไม่รู้จักตัวเอง
เมื่อไม่สามารถพัฒนาความคิดได้ ความคิดสร้างสรรค์ก็เกิดขึ้นได้ยากด้วย”
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
โดยแยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ออกไปเป็นสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ
และพัฒนาเครื่องมือที่จะสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์
เพื่อพัฒนาศิลปวัฒนธรรมทั่วประเทศให้มีรูปแบบที่ทันสมัย น่าบริโภค
และนำเสนอสู่สาธารณะ แต่ ดร.อภิชาติ ก็ได้เสนอแนวทางเริ่มต้นในการส่งออกวัฒนธรรม
นั่นคือการสอนให้เด็กรู้จักตัวตนและสามารถพัฒนาศักยภาพอย่างครบถ้วน
เพื่อให้สามารถใช้คนได้อย่างเต็มศักยภาพ
“ถ้าเราไม่สามารถสร้างนักศึกษาที่เป็นแบบนี้ได้
เรียนตามครู ห้ามคิด ห้ามทำอย่างอื่น ก็ไม่สามารถพัฒนาผู้เรียนได้
ถ้าเราอยากเป็นอย่างเกาหลีหรืออเมริกาที่คนสามารถคิดนอกกรอบ สร้างนวัตกรรม
แล้วสามารถมองเห็นหลายๆ มิติและสร้างให้เกิดนวัตกรรมขึ้นมาได้
นี่ก็เป็นสิ่งที่เราควรเรียนรู้จากเขา” ดร.อภิชาติสรุป
เห็นได้ชัดว่ากระแสบุพเพสันนิวาสนั้นทำให้เรามองเห็นโอกาสในการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมของเราให้ก้าวสู่เวทีสากล
แต่นอกจากการพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจตัวตน
ก่อนจะส่งออกความเป็นตัวตนของเราสู่สายตาชาวโลก สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ
การส่งออกวัฒนธรรมเป็นภารกิจที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะชนะในคนทั่วโลก ดังนั้น
การลงมือทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และเป็นระบบจึงจำเป็นอย่างมาก
หากเรายังมุ่งเพียงแต่การรณรงค์แต่งชุดไทยถ่ายรูปเพียงอย่างเดียว
โดยไม่มีการพัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์อย่างจริงจัง
มนตร์กฤษณะกาลีกี่เล่มก็คงพาเราไปสู่เวทีสากลไม่ได้
ขอบคุณที่มา : https://www.sanook.com/movie/77037/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น